การมีบ้านซักหลังถือว่าเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน สำหรับใครที่ไม่มีเงินก้อนการขอกู้สินเชื่อกับทางธนาคารถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี ซึ่งธนาคารส่วนใหญ่มักมีโปรโมชั่นดอกเบี้ยคงที่แค่ 3 ปีแรก ทำให้หลังจากนั้นหลายคนต้องหาวิธีปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง และวิธีเหล่านั้นก็คือการ Refinance และ Retention นั่นเองครับ ในวันนี้น้องน่าอยู่จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการ Refinance และ Retention กัน ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ

สำหรับใครที่อยากศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกู้สินเชื่อกับทางธนาคาร สามารถตามไปอ่านกันต่อได้ที่ 5 ขั้นตอนเตรียมตัวกู้ซื้อบ้านง่าย ๆ ให้ผ่านฉลุย กันได้เลยครับ

Refinance คืออะไร

refinance คืออะไร

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าส่วนใหญ่เมื่อผ่อนบ้านครบ 3 ปี ดอกเบี้ยเงินกู้มักปรับสูงขึ้น ทำให้หลายคนจึงเลือกทำการ Refinance ซึ่งการ Refinance ก็คือการขอยื่นกู้สินเชื่อกับธนาคารใหม่ เพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยบ้านต่ำลงและช่วยให้ยอดผ่อนต่อเดือนน้อยลง ผ่อนบ้านได้หมดไวยิ่งขึ้นนั่นเอง

โดยแต่ละธนาคารมักมีสินเชื่อ Refinance เด็ด ๆ ออกมา ใครที่มีแพลน Refinance บ้าน 2567 อย่าลืมติดตามการอัพเดทข่าวสารของแต่ละธนาคารและศึกษารายละเอียด Refinance บ้าน กันให้ดีด้วยนะครับ

หลังจากทำการศึกษารายละเอียด Refinance บ้าน เรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องทำการติดต่อธนาคารและเตรียมเอกสารไว้ให้พร้อม ซึ่งเอกสารที่ต้องเตรียมเพื่อ Refinance บ้าน มีดังนี้ครับ

เอกสารที่ใช้สำหรับ Refinance

  1. เอกสารส่วนบุคคลของผู้กู้ และผู้กู้ร่วม (ถ้ามี) ได้แก่
    1.1 บัตรประจำตัวประชาชน หรือ บัตรข้าราชการของผู้กู้ ผู้กู้ร่วม และคู่สมรส
    1.2 ทะเบียนบ้านของผู้กู้ ผู้กู้ร่วม และคู่สมรส (ถ้ามี)
    1.3 สำเนาทะเบียนบ้านคู่สมรส ของผู้กู้และผู้กู้ร่วม (ถ้ามี)
    1.4 ใบเปลี่ยนชื่อ (ถ้ามี)
  2. เอกสารทางการเงิน
    2.1 สลิปเงินเดือน และหนังสือรับรองเงินเดือน ของผู้กู้ ผู้กู้ร่วม
    2.2 สำเนา Statement ย้อนหลัง และหลักฐานแสดงรายได้อื่นที่เชื่อถือได้ของผู้กู้ ผู้กู้ร่วม
    2.3 สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียน / ทะเบียนการค้า (กรณีประกอบธุรกิจ)
    2.4 เอกสารแสดงข้อมูลการเสียภาษี
  3. เอกสารหลักประกันการRefinance
    3.1 สำเนาโฉนดที่ดิน หรือเอกสารสิทธิ์ห้องชุด ที่ใช้เป็นหลักประกัน
  4. เอกสารจากธนาคารเดิม
    4.1 สำเนาหนังสือสัญญากู้ สำเนาหนังสือสัญญาจำนองหลักทรัพย์
    4.2 สำเนาใบเสร็จการชำระเงินเดือนล่าสุด หรือ Bank Statement การชำระบัญชีเงินกู้จากสถาบันการเงิน

Retention คืออะไร

retention คืออะไร

จบกันไปแล้วสำหรับการทำความรู้จักการ Refinance ต่อไปเรามาทำความรู้จัก Retention กันบ้างดีกว่าครับ Retention ก็คือการขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคารเดิมที่เรากำลังกู้อยู่นั่นเอง โดยสามารถทำได้หลังจากผ่อนชำระครบ 3 ปีแล้ว เราสามารถทำการยื่นเรื่องกับธนาคารเดิมที่เรากำลังกู้บ้านอยู่ เพื่อขอต่อรองอัตราดอกเบี้ยบ้านในเรทที่ต่ำลงได้ครับ

การ Retention บ้านยังมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากและไม่ต้องเตรียมเอกสารมากมายให้ปวดหัวอีกด้วย โดยเอกสารที่ต้องเตรียมเพื่อ Retention บ้าน มีดังนี้ครับ

  1. สัญญาเงินกู้ ที่ใช้ในการกู้เงินซื้อบ้านกับธนาคารนั้นๆ
  2. ทะเบียนบ้าน และสำเนา ของผู้กู้
  3. บัตรประชาชน และสำเนา ของผู้กู้

สำหรับใครที่อยากศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ สามารถตามไปอ่านกันต่อได้ที่ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR, MLR, MOR คืออะไร? รู้ไว้ก่อนกู้บ้าน ไม่พลาดแน่!! กันได้เลยครับ

เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ของ Retention และ Refinance

ข้อดี ข้อเสีย rention และ refinance

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจลังเลว่าเราจะลดดอกเบี้ยกู้บ้านด้วยการ Refinance หรือ Retention ดี? เพื่อให้ทุกคนตัดสินใจได้ง่ายขึ้นน้องน่าอยู่จึงเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของ Refinance และ Retention ให้ทุกคนได้ดูกันครับ

เรามาเริ่มที่การ Refinance บ้าน กันก่อนเลยครับ Refinance มีข้อดีคือเราสามารถเลือกดูอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารเพื่อเลือกธนาคารที่เหมาะสมกับเราที่สุดได้ มีตัวเลือกหลากหลายมากขึ้น ทำให้ได้อัตราดอกเบี้ยในเรทต่ำนั่นเอง ส่วนข้อเสีย คือ ต้องเตรียมเอกสารขอกู้บ้านใหม่ ซึ่งเอกสารค่อนข้างเยอะ ใช้เวลารออนุมัตินาน 2 - 3 สัปดาห์ และมีค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมหลายรายการครับ

ส่วนการ Retention บ้าน มีข้อดี คือ เตรียมเอกสารน้อย ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก รออนุมัติสินเชื่อเร็วประมาณ 7 วันทำการ และมีค่าธรรมเนียมไม่สูงมากนัก ประมาณ 1-2% ของยอดวงเงินกู้เต็ม หรือวงเงินที่เหลืออยู่ ตามแต่ธนาคารจะกำหนด ส่วนข้อเสียคือ เราจะขอลดอัตราดอกเบี้ยไม่ได้มาก ส่วนใหญ่อยู่ที่ 0.25-0.50% ครับ

Refinance กับ Retention เลือกแบบไหนดีกว่า

refinance กับ retention เลือกแบบไหนดีกว่า

เมื่อเรารู้ข้อดีและข้อเสียของการRefinance บ้าน และการ Retention บ้าน กันไปแล้ว บางคนอาจได้คำตอบแล้วว่าเราจะเลือกRefinance บ้าน หรือ Retention บ้าน ดี แต่สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้น้องน่าอยู่แนะนำว่าหากเราเหลือยอดผ่อนชำระ 1 ล้านบาทขึ้นไป หรือจะกู้เงินเพื่อรีโนเวทบ้าน แนะนำให้ทำการ Refinance เพราะการ Refinance ต้องเตรียมเอกสารเยอะและมีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง หากยอดเงินกู้ไม่เยอะ อาจไม่คุ้มกับค่าธรรมเนียมที่เราต้องจ่ายนั่นเองครับ

แต่สำหรับใครที่ยอดเงินกู้เหลือต่ำกว่า 1 ล้านบาท น้องน่าอยู่แนะนำให้เลือกเป็นการ Retention ครับ ถึงแม้การ Retention จะไม่ได้ลดอัตราดอกเบี้ยมากเท่าการ Refinance แต่มีค่าธรรมเนียมน้อยกว่า เตรียมเอกสารน้อย รออนุมัติไว หากยอดเงินกู้เหลือไม่เยอะก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าครับ

บทสรุป

จบกันไปแล้วกับการทำความรู้จักการ Refinance และ Retention ทั้งสองวิธีเป็นการช่วยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหมือนกัน แต่ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป น้องน่าอยู่หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่กำลังสนใจกู้ซื้อบ้านจะมีความเข้าใจในเรื่อง Refinance และ Retention กันมากขึ้นและตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองกันนะครับ อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ทุกคนอย่าลืมศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมก่อนทำการกู้ซื้อบ้านกันด้วยนะครับ

สำหรับใครที่กำลังมองหาซื้อบ้านเดี่ยวอยู่ สามารถเข้ามาเลือกชม โครงการบ้านใหม่พร้อมอยู่ ได้ที่เว็บไซต์น่าอยู่ แหล่งรวมประกาศขายบ้านเดี่ยว โครงการบ้านจัดสรร แนะนำโครงการใหม่พร้อมอยู่ทุกทำเล ที่มาพร้อมกับดีไซน์ สไตล์บ้านที่หลากหลาย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ที่คุณชอบ มีให้เลือกกว่า 1,200 โครงการและยังมีสาระน่ารู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับการบ้านที่น่าสนใจมาให้ทุกคนได้อ่านกันอีกด้วย

แนะนำอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ในแต่ละเดือน ตลอดปี 67

บทความแนะนำ

อ้างอิง

กดติดตาม "ขอนแก่นน่าอยู่" เพื่อ หาบ้านมือ 1, หาคอนโด, บ้านมือ 2, ที่ดิน รวมถึงหาเช่า/หอพักทั่วเมืองขอนแก่นเพิ่มเติมได้ที่บนเว็บไซต์